เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ธรรมะนี้สัจธรรม สัจธรรมนี้ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่มากเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดวงอาทิตย์ให้พลังงาน โลกถ้าขาดดวงอาทิตย์นะ มันจะมีความหนาวเย็น มันจะห่อหุ้มไปด้วยน้ำแข็ง ชีวิตจะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้ โลกจะอยู่ได้ด้วยพลังงาน ด้วยแสงอาทิตย์ ด้วยความสว่าง มันมีคุณค่าๆ ไง
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านบอกนะ เปรียบเหมือนแสงอาทิตย์ ไม่ลำเอียง บ้านใดเรือนใดจะมั่งมีศรีสุข ยากจนเข็ญใจขนาดไหน ไม่มีลำเอียง
แต่มันเป็นคนในบ้านนั้นน่ะ คนในบ้านนั้นมันไม่เห็นคุณค่าไง เราเกิดมา เราอยู่กับโลกใช่ไหม เกิดมาเราก็เห็นมันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เราไม่เห็นคุณค่าของมันหรอก แต่ทางวิทยาศาสตร์ทางวิจัยแล้วมันมีค่ามาก มีคุณค่ามาก
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีค่ามากๆ มีคุณค่ามากจนพวกเรามองข้ามกันไปไง ไม่เห็นคุณค่าของมันไง ถ้ามันมีคุณค่า มีคุณค่าที่ไหน มีคุณค่าในใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาไง วิมุตติสุขๆ สุขที่ยิ่งใหญ่ สุขที่เหนือ ๓ โลกธาตุ
ไอ้พวกเราวิ่งแสวงหาความสุขกัน เวลาไปไหนอยากจะมีความสุข อยากจะประสบความสำเร็จ ไอ้ความสุขประสบความสำเร็จนี้มันก็ต้องอาศัยอำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของคนมันก็มาถึงความเพียรความพยายามของคน ความเพียรความพยายามของคนมันก็เป็นโอกาสของคน เวลาโอกาสของคนนี่เป็นอามิสๆ ไง
ที่เรามาทำบุญกุศลกันอยู่นี่มันเป็นอามิส คือการให้ การเสียสละ มีการเสียสละ มีการกระทำ ถ้าการเสียสละ การกระทำ มันมีการกระทำต่อเนื่อง มีการทำซ้ำซ้อน ทำซ้ำซ้อนมันก็ต่อเนื่อง มันก็มากขึ้น เห็นไหม การกระทำที่เราได้ใช้จ่ายใช้สอยไปมันก็เบาบางเป็นธรรมดา
เวลาคนเราทำบุญกุศลไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันหมดอายุขัยมันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เรามาเกิดเป็นคน เกิดเป็นคนมาจากไหน เกิดเป็นคนมาจากการกระทำของเรา เป็นคุณงามความดีของเรา เราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์
เกิดเป็นมนุษย์ ชีวิตของมนุษย์สั้นนัก แต่ชีวิตของมนุษย์ยิ่งใหญ่นัก ยิ่งใหญ่ตรงไหน ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกนี้ ความรู้สึกของเรานะ คนถ้ามีสติปัญญานะ สติปัญญามันไม่ต้องแบกต้องหาม ใครมีทรัพย์สมบัติมากน้อยแค่ไหน เขาต้องเก็บของเขา เขาต้องดูแลรักษาของเขา อำนาจวาสนาบารมีมาจากการกระทำไง สิ่งที่ยิ่งใหญ่คือหัวใจของสัตว์โลก หัวใจของสัตว์โลก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เวลาสร้างคุณงามความดีมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การกระทำอย่างนั้น พันธุกรรมของจิตมันได้ตัดแต่ง ได้เปลี่ยนแปลง มันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่จนล้นน่ะ ล้นแล้วพอมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ บารมีเต็มๆ คำว่า “บารมีเต็ม” คือมันสร้างสมมาจนเหลือล้น ไอ้ของเรามันขาดตกบกพร่อง
เราเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน แม้แต่พี่น้องคิดไม่เหมือนกัน เวลาคู่แฝดยังคิดไม่เหมือนกัน มีคนคิดไม่เหมือนกัน เกิดวิกฤติอย่างหนึ่ง คนมีมุมมองแตกต่างกันไปเพราะการศึกษา ใครศึกษาสิ่งใดมาก็มุมมอง วิกฤติในมุมมองของตน ในรากฐานในการศึกษาของตน
นี่ไง แต่อริยสัจ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ จะมีการศึกษา จะมีมุมมองมาขนาดไหน มีวาสนามากน้อยขนาดไหน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วเข้าสู่อริยสัจ เข้าสู่สัจจะความจริง เวลาเข้าสู่อริยสัจ เข้าสู่ความจริงขึ้นมา เพราะอะไร
เพราะคนเราเวลามันทุกข์มันยากเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาเราคิดนะ ความอยากดี อยากดีมันก็เป็นความอยากหนึ่ง ถ้าความอยากหนึ่งเป็นมรรค เวลาเป็นมรรค มรรคก็มีมิจฉา มีสัมมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นของตนที่ถูกต้องดีงาม
ถ้ามันถูกต้องดีงามขึ้นมา กิเลสมันต้องยุบยอบลง กิเลสมันต้องเบาบางลง กิเลสมันต้องสิ้นไป แต่นี่เวลาปฏิบัติแล้วกิเลสมันก็มียุบยอบลง กิเลสมันก็เบาบางลง กิเลสมีแต่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ตรงไหน ยิ่งใหญที่มันเพิ่มขึ้นไง มันสร้างขึ้น มันเพิ่มค่าขึ้น เพิ่มค่าขึ้นตลอดเวลา เพิ่มค่าขึ้นตลอดเวลาเพราะอะไร เพราะมันเป็นมิฉาทิฏฐิ มันเป็นความเห็นผิดไง
นี่มีการกระทำๆ คนทำคุณงามความดีขึ้นมามันต้องสัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องดีงาม ความถูกต้องดีงามมันชำระล้างกิเลสในใจของเราไป ชำระกิเลสในใจของเราไป
ฟังธรรมๆ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ตรงนี้ไง ยิ่งใหญ่ที่หัวใจนี้มันยิ่งใหญ่นัก เพราะคนเราคิดดีๆ ถ้าคนคิดดีๆ โอ้โฮ! โลกนี้ร่มเย็นเป็นสุขนะ ผู้นำที่เป็นคุณธรรม เราแสวงหามาก หาผู้นำที่ดีๆ แล้วผู้นำที่ดีเป็นหลักเป็นชัยนะ ผู้นำที่ดีตรงไหน ผู้นำที่ดีก็ปกป้องคุ้มครองเราไง ดูพ่อแม่สิ เวลาพ่อแม่ที่มีอำนาจวาสนาบารมี ลูกนี่สบายเลย ไอ้ลูกคนนั้น ลูกคนนั้นน่ะ สังคมเขาเกรงใจ แล้วลูกคนนั้นๆ นี่อำนาจวาสนาบารมีที่คุ้มครอง
ไอ้เราคุ้มครอง คุ้มครองอย่างไร คุ้มครองต้องมาเฝ้ากันอยู่อย่างนั้นเลยหรือ ถ้าคุ้มครองนะ ชื่อเสียงของพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราที่สร้างคุณงามความดี เฮ้ย! อย่าไปยุ่งกับเขา พ่อแม่เขาดีมากเลย พ่อแม่เขาดีมากเลย เห็นไหม นี่เวลามันคุ้มครอง คุ้มครองกันอย่างนั้นน่ะ คุ้มครองดูแลเรามา ถ้ามันคุ้มครองดูแล
อำนาจวาสนาบารมี ถ้าของเรามันเหี่ยวแห้ง ของเรามันไม่มีสิ่งใดที่เป็นคุณสมบัติของเราเลย เวลาจะมีก็มีแต่ความพอใจของตนๆ ความพอใจของตนมันก็กิเลสของตนไง กิเลสของตนทุกดวงใจมีกิเลสทั้งนั้นน่ะ
เวลาพูดถึงความทุกข์นะ ให้หันหน้าเข้าหากันปรับทุกข์ๆ ปรับทุกข์มันไม่มีวันจบวันสิ้น แต่ความสุขเวลาพูดออกมาสิ ความสุขมันมีมาจากไหน ความสุขมันมีมาตั้งแต่เราสำนึกตัวเราเองได้ สิ่งใดที่เราแสวงหาแล้วมันเป็นของชั่วคราวทั้งนั้นน่ะ ชั่วคราว ชีวิตนี้สั้นนักๆ เราจะไปหาสิ่งที่เป็นสมบัติสาธารณะ
สมบัติสาธารณะ โลกนี้คือละคร เกิดมาชาติหนึ่งเพื่อให้มาแสดงละครกัน แสดงละครขึ้นมา เวลาเก็บฉากแล้ว สิ่งนี้ก็ตกไปกับโลกนี้ นี่สมบัติสาธารณะๆ ไง โลกนี้คือละคร แต่มันเป็นความจริงนะ จริงตามสมมุติๆ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบวชพระไง บริขาร ๘ คือปัจจัย ๔ ไง ดำรงชีวิต ดำรงชีวิตมันต้องมีปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ เราต้องแสวงหา การแสวงหา แสวงหามาเพื่อดำรงชีวิต เราก็ต้องทำหน้าที่การงานของเรา แต่เราทำหน้าที่การงานของเราด้วยสติด้วยปัญญาของเรา นี่สมบัติสาธารณะ โลกนี้คือละคร เรามาแสดงกันน่ะ แต่เวลาแสดงแล้ว เวลาเก็บฉากแล้ว สิ่งที่เป็นสมบัติความจริงของเรามันคืออะไร ศีล สมาธิ ปัญญา คือสัจจะความจริงแท้ในหัวใจนี้ ถ้าสัจจะความจริงแท้ในหัวใจนี้ไง
พระโพธิสัตว์ พระเวสสันดรท่านมาเสียสละทานของท่าน เสียสละทานนั้นมันสูญเปล่าหรือ การเสียสละทานของพระเวสสันดร เสียสละทานเพื่อจะกำเนิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ อันนั้นมันสูญเปล่าตรงไหน การเสียสละอย่างนั้น เสียสละขึ้นมา เสียสละเพื่อให้หัวใจมันล้น บุญมันล้น มันพอใจของมัน มันสมบูรณ์ของมัน เวลามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา
คนที่มีอำนาจวาสนาเขาเห็นว่า ดวงอาทิตย์ แสงสว่าง พลังงานมันมีประโยชน์ๆ ไง ประโยชน์ขึ้นมาเพราะเจ้าชายสิทธัตถะก็มาประพฤติปฏิบัตินี่ไง มารื้อค้นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไง เวลามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา เป็นจริงในใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมตรงไหน กราบธรรมเวลามันทุกข์ไง
เจ้าชายสิทธัตถะเวลาจะออกจากราชวังมานะ ราชกุมารเกิดแล้ว คนเรา ดูสิ คู่สามีภรรยาใหม่ เกิดลูกคนแรกนี่เห่อทุกคน ตื่นเต้นทุกคนน่ะ เจ้าชายสิทธัตถะเวลาลูกเกิดแล้ว แล้วมันโดนบีบคั้นมา บีบคั้นมาด้วยความเป็นอยู่ เวลาเขาเล่นฟ้อนรำกันก็หลับซะ เวลาตื่นขึ้นมา พวกนางฟ้อนรำนอนอยู่เกลื่อนไปหมดเลยนะ มองไปเหมือนซากศพ นี่ไง บุญอำนาจวาสนามันบีบคั้นมาไง
เวลาเขารื่นรมย์กัน เขาชื่นชมกัน แต่เจ้าชายสิทธัตถะหลับเวลาเขาฟ้อนรำ เวลาตื่นขึ้นมา เห็นเหมือนซากศพ โอ้โฮ! ซากศพ คนอยู่ท่ามกลางซากศพมันเอาความสุขมาจากไหน นี่ไง อำนาจวาสนาบารมีบีบคั้นเข้ามาๆ แล้วบีบคั้นเข้ามา เพราะมันขยะแขยง มันรังเกียจความเป็นอยู่ มันอยู่กับโลกไม่ได้ แต่เวลาจะไป เวลาราชกุมารเกิดแล้ว ละล้าละลังๆ มันทุกข์มันยากไหม มันทุกข์มันยากไหม คนเรามันต้องพลัดพรากสิ่งที่รัก
เวลาเอ็งโกรธกัน กูไม่ขอหรอก เวลารักกัน กูขอแฟนเอ็งได้ไหม เวลาเอ็งชอบกันน่ะ เวลาเกลียดกันไม่ต้องไปขอมัน มันให้อยู่แล้ว แต่เวลามันรัก มันรักของมัน ขอ มันให้ไหม ฆ่ากันนะ ทำลายกันก็เพราะทิฏฐิมานะนี่แหละ แต่นี่ตัวเองเป็นเรื่องของตนเอง ตนเองต้องพลัดพราก
บอกว่า เวลาความทุกข์ๆ เวลาบอกความทุกข์ๆ ท่านไม่รู้จักหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยเจอความทุกข์
มันจะไม่รู้จักได้อย่างไร ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ สิ่งที่ราชกุมารเกิดแล้วต้องพลัดพรากจากไปมันต้องเป็นทุกข์ไหม แล้วคนที่มีความรับผิดชอบ สุภาพบุรุษขนาดนั้นทุกข์ไหม ทุกข์แสนทุกข์
แล้วเวลาไปประพฤติปฏิบัติกับเขา ไปทำทุกรกิริยา ไปทำต่างๆ ทุกข์ไหม มันทุกข์ทั้งนั้นน่ะ มันทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่ทุกข์แบบคนที่มีสติมีปัญญาไง ทุกข์อย่างนี้ มันทำอย่างนี้ ทำถึงที่สุดอย่างนี้ ทำมากกว่าเขา ที่เขาทำๆ กันอยู่นั้นเขาก็ทำกันอยู่นั่นแหละ เขาทำไม่ถึงเราหรอก เราทำมากกว่าเขาแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จไง มันน่าจะไม่ใช่ มันน่าจะมีหนทางอื่นที่ดีกว่านี้ เพราะก็ทำๆ กันมาทุกคน ทำมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ทำมาตลอดเลย ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ แล้วไม่เคยผลเลย มันน่าจะมีทางออก มันน่าจะมีทางอื่น
ฉะนั้น ถึงย้อนกลับมาที่หัวใจนี้ไง จิตใจที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ที่หัวใจนี้ไง ถ้ามันทำความสงบของใจ นี่ไง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาญาณ อาสวักขยญาณ วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสิ้นกิเลสไป กิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเสวยวิมุตติสุข วิมุตติสุข มันมาเทียบแล้ว ตอนที่ทุกข์ที่ยากนี่ไง ตอนที่พลัดพรากมาไง พ่อก็ทุกข์ ภรรยาก็ทุกข์ ยิ่งลูกยิ่งคร่ำครวญ มหาอำมาตย์ อาณาจักรแทบจะล่มสลาย เพราะว่าอะไร ผู้ที่จะเป็นผู้นำอยู่นั้นตัดช่องน้อยออกไปก่อน มันสั่นสะเทือนไปหมดล่ะ แต่เวลาท่านสำเร็จแล้ว เวลากลับมาเอาพ่อเป็นพระอรหันต์ สามเณรราหุลเป็นพระอรหันต์ นางพิมพาเป็นพระอรหันต์ กลับมาเป็นพระอรหันต์หมดเลย
สิ่งที่เป็นพระอรหันต์มามันต้องมีการกระทำไง คนที่จะเห็นคุณค่าๆ มันต้องมีกาลมีเวลา มีการกระทำ คนเราไม่ใช่ดีเพราะการนึกหรอก นึกว่าอยากจะเป็นคนดี นึกว่าฉันเป็นคนดี คนเราไม่สำเร็จไปด้วยความนึกคิดหรอก คนต้องสำเร็จด้วยการกระทำ
หัวใจมันยิ่งร้ายกาจกว่านั้นนะ เวลามันสั่งสมกิเลสตัณหาความทะยานอยากมา ดูจริตนิสัยสิ โทสจริต อย่าไปมองหน้ามันนะ มองหน้ามัน มันฆ่าทิ้งเลยล่ะ ไอ้พวกโลภะ ดูสิ ไม่ต้องเอาอะไรไปเสนอ มันเอาเงินไปให้เขาเลย มันหลงใหลไปหมด นี่มันเป็นจริตนิสัย ถ้าจริตนิสัยขึ้นมาแล้วมันเป็นจริตนิสัยของเขา
ฉะนั้น ถ้าเป็นของเรา ของเรามองกระแสสังคมนะ เวลาหลวงตาท่านสอนนะ ใครจะดีใครจะชั่วก็เรื่องของเขา เรื่องของเขาคือว่า ถ้าเรามีสติปัญญาไปอธิบายกับเขา สังคมส่วนใหญ่เขาเหยียบเราแบนเลย
ใครจะดีจะชั่วก็เรื่องของเขา แต่เราจะทำความดีว่ะ เห็นไหม ท่านพาลูกศิษย์ของท่าน ท่านพาพระกรรมฐานของเราอยู่ในวัตรปฏิบัติ อย่า อย่าไปตื่นโลกตื่นสงสาร ไอ้เรื่องโลกเรื่องสงสาร ถ้ามันดี มันพาคนดีไปหมดแล้วแหละ มันมีของมันอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว โลกเขาทำกันอยู่อย่างนั้น มันเป็นความดีไปไม่ได้หรอก สิ่งที่มันจะเป็นความดีไปได้มันต้องวาง วางแล้วต้องมาประพฤติมาปฏิบัติให้รู้จริงเห็นจริงในใจของตน ไม่ใช่วาง วางแล้วจะสำเร็จก็ไม่ใช่
คำว่า “วาง” วางโลก อย่าไปตื่นเต้นกับเขา แต่ถ้ามันไม่วาง เราไปแบกโลกไง นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ไม่ได้อะไรสักอย่าง แล้วก็ต้องไปโต้แย้งกับเขา มันเสียเวลาไง
ใครจะดีจะชั่วมันเรื่องของเขา เรามีสติปัญญาหรือไม่ เรามีอำนาจวาสนาหรือไม่ ถ้าเรามีแล้วเรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เรามีครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติหรือไม่ ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เราปฏิบัติแล้วมันติดข้องสิ่งใดไปปรึกษาท่าน ไปหาท่าน ท่านแก้ไขให้ได้ ถ้าท่านให้เราไม่ได้ ท่านเป็นหมอไม่ได้ คนที่เป็นหมอรักษาโรคไม่ได้ เป็นหมอไม่ได้
เป็นหมอ เขาสำเร็จหมอได้ เขาต้องรักษาโรคได้ เขารักษาโรคได้เพราะเขาเคยเป็นโรคแล้ว เขารักษาโรคเขาหายแล้ว เขาถึงรู้วิธีการรักษาโรคในใจของเขา แล้วถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ถ้าเขารักษาโรคของเราไม่ได้ แสดงว่าเขาไม่เคยเป็นโรค
คนที่เคยเป็นโรค เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วรักษาโรคนั้นหาย นี่ไง วิธีการที่รักษาโรคหายนั้นคือมรรค คือมรรค คือวิธีการกระทำอย่างไรให้มันเป็นจริงขึ้นมา นี่ไง ถ้าเรามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เราขวนขวายของเรา เราปฏิบัติของเรา เราหาครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นคนชี้บอกทางเรา ชี้บอกทางๆ แล้วบอกทาง
เวลาไปหาหมอ ทุกคนไม่ชอบหมอ เพราะหมอฉีดยาแล้วเจ็บ หมอให้ยากินแล้วขม ครูบาอาจารย์เราก็เป็นอย่างนั้นน่ะ ถ้าไปหาแต่น้ำผึ้งน้ำหวานนี่ชอบ ไอ้หมออย่างนั้นน่ะชอบ แล้วชอบเราก็จ่ายตังค์อยู่นั่นน่ะ นั่นน่ะหมอพาณิชย์ไง แต่หมอเป็นจริงเขารักษาให้หายได้นะ การรักษาอย่างนั้นเขาต้องรักษาใจของเขาให้ได้ก่อน
ถ้ารักษาใจไม่ได้ เราก็ทำได้ เวลากรรมฐานเขาเรียกว่าฉลากยา ฉลากยา อ่านกันไปเถอะ ฉลากยาบอกถึงวิธีการรักษาทั้งหมด แต่เวลาอ่านฉลากยาแล้วโรคไม่หายหรอกถ้าเราไม่ได้ยานั้น
นี่ก็เหมือนกัน เราจะเอาจริงเอาจังของเราขึ้นมา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาทุกข์ยากๆ มา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข์ยากมาทั้งนั้นน่ะ เวลาเสวยวิมุตติสุขๆ มันยิ่งใหญ่ เพราะมันไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
เวลา ๖ ปีที่ประพฤติปฏิบัติกับเขา ลังเลสงสัยอยู่ ขวนขวาย ค้นคว้า แล้วพยายามหาทางออก มันบีบคั้นหัวใจขนาดไหน แต่เวลามันสิ้นสุดแห่งทุกข์ไปแล้วมันจบสิ้นในหัวใจนะ ไม่เกิดอีกแล้ว ไม่ไปไหนอีกแล้ว สมบูรณ์แล้ว จบ เวลามันจบ มันจบในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจบในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในบรรดามนุษย์ๆ สิ่งที่ว่ายิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ที่หัวใจดวงนั้น ถ้าหัวใจดวงนั้นมันยิ่งใหญ่ มันก็ย้อนกลับมาที่หัวใจเรานี่ ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้นะ ฟังธรรมๆ จิตใจที่ยิ่งใหญ่ๆ เราจะทำอย่างไรให้มันยิ่งใหญ่ล่ะ
ดูสิ ผู้ยิ่งใหญ่ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ หลวงตาเราไง บริขาร ๘ โลกเขาไม่ต้องการเลย เยาวราช ไปซื้อเยอะแยะเลย เสาชิงช้า เอาเท่าไร บริขาร ๘ จีวรก็มีขาย บาตรก็มีขาย ทุกอย่างมีขายพร้อม มันมีอยู่พร้อมที่จะเอามาบริจาค
แต่สมบัติของท่าน สมบัติของพระ เขาต้องพินทุอธิษฐาน พระเราจะใช้ของคนอื่นไม่ได้ จะต้องพินทุอธิษฐานเป็นของของตน ถ้าเป็นของของตนถึงจะใช้สิ่งนั้นได้ พระถึงมีสมบัติแค่นั้นไง
สิ่งที่มีอยู่ทั่วไปในท้องตลาดนั้นเป็นธุรกิจของเขา เป็นเรื่องโลก แต่ถ้าถวายพระ พระรับแล้วพินทุอธิษฐานเป็นของบุคคลคนนั้น เป็นผ้าครอง ต้องครองผ้า รุ่งอรุณแล้วผ้าหาย เพราะสมัยโบราณผ้านี้หายาก
นี่คนจนผู้ยิ่งใหญ่ แต่หัวใจยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เพื่อโลกไง ยิ่งใหญ่เพื่อสังคมไง ยิ่งใหญ่เพื่อพวกเรานี่ไง เวลาท่านทำสิ่งใดๆ จะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ ท่านให้เรากระทำๆ นี่ไง พัฒนาหัวใจของตนไง ถ้าพัฒนาหัวใจของตน ทาน ศีล ภาวนาไง นี่คือสมบัติแท้ของเราไง
ชีวิตนี้สั้นนัก ๑๐๐ ปีก็ตาย แต่ใจไม่เคยตาย เพราะใจไม่เคยตาย มันเกิดมาแล้วเราถึงต่างคนต่างจริต ต่างคนต่างนิสัย เราจะปรารถนาดีกับใครก็แล้วแต่ ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมของเขา เขาจะมาจองล้างจองผลาญเรา แต่ถ้าเป็นบุญกุศลของเขา เราไม่เคยรู้จักเขาเลย เขาก็จะมาเกื้อกูลเรา เกื้อกูลเพราะด้วยกรรมไง เราได้สร้างบุญกุศลสิ่งใดไว้ ไม่รู้จักใครเลย เขามาเกื้อกูลเราตลอด แต่คนที่เราหวังพึ่ง หวังสิ่งใดใด แต่มันมีบาปมีกรรมต่อกันมานะ มันมาจองล้างจองผลาญ มันมาทำลายทั้งนั้นน่ะ นี่ผลของกรรม
กรรมคืออะไร กรรมคือการกระทำ แต่ทำมาภพชาติใดล่ะ กรรมนี้เป็นอจินไตย อจินไตยที่มันซับซ้อนมา เพราะการเกิดไม่มีที่สิ้นสุด การเกิด ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเรื่องของเขา นี่ไง ใครจะดีจะชั่วเรื่องของเขา เราจะทำความดีว่ะ ใครจะไม่เชื่อนรกสวรรค์ ใครจะไม่เชื่อมันก็เรื่องของเขา แต่เราปฏิบัติของเราว่ะ
แล้วถ้าปฏิบัติไปแล้วนะ เอ๊อะ! อ๋อ! อ๋อ! จบ เพราะการเกิดและการตาย และการไม่เกิดไม่ตายมันต่างกันไง การเกิดและการตายมันตายอยู่อย่างนี้ไง แล้วเวลาจะไม่เกิด ไม่เกิดอย่างไร มันต้องจบไง คนติดคุกก็รู้ว่าติดคุกไง คนออกจากคุกมันก็ต้องรู้ว่าออกจากคุกไง
นี่เหมือนกัน ไอ้เชื่อหรือไม่เชื่อไปเอ๊อะ! ถ้าไม่เอ๊อะ! มันก็ยังสงสัยอยู่ “เอ๊ะ! สวรรค์มีจริงหรือไม่จริงวะ เอ๊! หลวงพ่อโกหก ศาสนาพุทธเขียนเสือให้วัวกลัว”
ไอ้นี่มันพูดความจริง แต่ความจริงนี้เป็นสัจจะที่เรามีปัญญา เราเชื่อตามธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่อย่าไปเชื่อพวก ๑๘ มงกุฎนะ ถ้าร่ำรวยมานี่ โอ้โฮ! อดีตชาติเคยเป็นคู่ครองกันมา ถ้ายาจกมานี่ไม่เคยรู้จัก ถ้าร่ำรวยมานะ โอ้โฮ! นี่อดีตชาติๆ
อดีตชาติมันก็เป็นเรื่องของอดีต มันเกี่ยวอะไรกับมึงล่ะ อดีตชาติมันก็เป็นเรื่องอดีต นี่มันเป็นปัจจุบันนนี้ ถ้าปัจจุบันนี้มันก็เป็นเรื่องของปัจุบันนี้ เราบอกว่า ให้เชื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่อย่าเชื่อ ๑๘ มงกุฎ เอวัง